หนังไทย netflix ล่าสุด รีวิวหนัง One for the Road วันสุดท้าย.. ก่อนบายเธอ คำขอของ อู๊ด (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ผู้เป็นเพื่อนที่มีโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว นำไปสู่การตัดสินใจของ บอส (ธนภพ ลีรัตนขจร) ผู้เป็นเจ้าของร้านบาร์เทนเดอร์ในนิวยอร์ก ซึ่งได้ออกเดินทางมาอยู่ต่างแดนนานเป็นสิบปี บอสต้องการกลับมาเมืองไทย เมื่อเกิดการพบกันระหว่างเพื่อนเก่านี้ การเดินทางกลับมากลายเป็นโอกาสในการกลับไปพบกับอดีตของอู๊ด และบางส่วนของเรื่องราวก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของบอส สิ่งที่เพื่อนที่ป่วยหนักต้องการคือให้บอสขับรถพาเขาไปหาแฟนเก่าเพื่อคืนของบางอย่างและร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย

แต่การเดินทางที่เริ่มดูเหมือนจะจบลงไม่ตรงกับที่บอสคาดหวัง เมื่ออู๊ดพบว่ามีสิ่งบางอย่างที่เขาเก็บไว้ในใจ นั่นคือเป้าหมายของการเดินทาง เพื่อบอกลากับตัวเองในอดีต สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่สาวๆ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ยังมีคนบางคนที่ถูกวางไว้เป็นคนสุดท้าย คนที่มีความหมายและความสำคัญที่สุด คนที่เขาอาจจะลืมไปว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองอยู่ที่ไหน หรืออยู่กับใคร?
สิ่งนี้กลายเป็นการบิดเรื่องและพลิกผันไปอีกทาง และทำให้เขาตัดสินใจหลุดออกจากสถานะการงาน ‘บอกลา’ คือการกลับไปพบแฟนเก่า แบบที่เคยเห็นในหนังหลายๆ เรื่อง นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนสถานะของอู๊ดจากการเป็นผู้โดยสาร กลายเป็นคนขับรถให้เพื่อน โดยไม่รู้ว่าเมื่อถึงจุดหมายที่เพื่อนไม่เคยคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น เขาจะกระทำแบบเดียวกับสิ่งที่เขาได้ทำไว้ในอดีตหรือไม่อย่างไร

บางครั้ง, สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราและคนอื่นมักจะมีจุดจบและการเปิดตัวตนใหม่ บางครั้งไม่มีอะไรที่สามารถเรียกว่าเรื่องยุ่งเหยิงอยู่ต่อ บางคนเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้สวยงามเสมอไป บางครั้งเราอาจรู้สึกถึงกันบางส่วน แต่ไม่ใช่ทุกส่วน ผลจากการพบกันครั้งนี้ อาจจะไม่ต่างจากจุดจบที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่หรือสานต่อชีวิตที่ไม่มีเขาต่อไป นับจากนี้
แน่นอนว่าการพบกับอู๊ดของทุกคน ไม่ได้ต่างไปจากการเปิดแผลของตัวเอง หรือการเผยขยะที่เราซุกไว้ใต้พรม มันอาจทำให้เราเจ็บปวด รู้สึกเกลียดชัง แต่ท้ายที่สุดเราก็จะได้รับการรักษาจนสามารถเริ่มใหม่อีกครั้ง ดีกว่าการเก็บไว้แล้วมันจะเน่า หรือส่งกลิ่นเหม็นโชยโดยไม่รู้ตัว หรือเลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือการหนีความจริง การหนีความรู้สึกตัวเอง เหมือนกับการซุกปัญหาไว้ให้มันลึกขึ้น จนกลายเป็นการหนีหน้าความจริง แบบที่บางคนล้มเหลวทำในชีวิตประจำวันของตัวเองไปบ้าง

หนังเรื่องนี้ชัดเจนในการสื่อประเด็นนี้ผ่านความสัมพันธ์ที่อู๊ดมีกับทุกคน รวมถึงการกระทำในฉากสุดท้ายของเจ้าของบาร์จากแดนไกลด้วย แม้เจ้าของชีวิตนั้นจะเต็มไปด้วยความบันเทิง แต่อาจไม่ใช่เช่นนั้นในใจของเขา
นอกจากนี้ นัฐวุฒิ พูนพิริยะยังมีการนำเสนอความแตกต่างให้กับหนัง โดย One for the Road ไม่ใช่งานเล่าเรื่องชีวิตผ่านการเดินทาง (Road Trip) ตัวละครไม่ต้องมีอะไรเรียนรู้กันจากการใช้ชีวิตร่วมกันบนท้องถนน ต่างคนต่างรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่บางคนอาจมีความลับคาใจ ที่เป็นที่มาของขยะในความทรงจำของอีกคนเอาไว้ และรอเวลาเปิดเผยให้อีกฝ่ายรับรู้ นี่คือ ‘แก้วสุดท้ายก่อนกลับบ้าน’ จริงๆ ของเขา

หนังนี้มีความพิเศษและนวัตกรรมของตัวเอง แม้ว่าอิทธิพลของหว่องการ์ไวมีอยู่ แต่นัฐวุฒิได้ปรับให้เป็นสิ่งเฉพาะตัว ไม่มีความรุนแรงเท่าที่ปรากฏในตัวอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์ มีความชัดเจนในหลายๆ ฉาก และเหตุการณ์ รวมถึงบทสนทนา แม้จะรู้สึกได้ว่าประดิษฐ์หรือปรุงแต่งบ้าง งานด้านภาพที่ดูสวยและเห็นได้ชัดว่าผ่านการจัดวางเป็นอย่างดี อย่างการใช้สิ่งต่างๆ ในสภาพแวดล้อมเป็นกรอบรายล้อมตัวละคร และเมื่อใครบางคนหลุดพ้นไปจากชีวิตอู๊ด รูปภาพของเธอหรือเขาก็ค่อยๆ หลุดออกจากกรอบเหล่านั้น
การใช้องค์ประกอบอื่นๆ ในการสร้างความรู้สึกให้กับจริตแสดงให้ความคิดรู้สึกได้ถึงบทบาทอย่างมีความหมาย ไม่ใช่งานขายสไตล์ที่ดูโดดเด่นเพียงอย่างหนึ่ง แต่เป็นงานที่มีอารมณ์ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในฉากที่ส่งพ่อของอู๊ด ที่ใช้เพลง “Father and Son” ทำให้ฉากนี้เป็นที่จับหัวใจของผู้ชม

การแสดงบทบาทเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังไม่พลาดจากความรู้สึกของผู้ชม ซึ่งสาวๆ อาจจะไม่มีระยะเวลาในหนังมากนัก แต่ก็อยู่ในพื้นที่ความทรงจำของผู้ชม มากเท่าที่อยู่ในชีวิตของอู๊ด การแสดงที่ไม่เป็นการที่จะขัดหูขัดตา แต่สำคัญและโดดเด่นไม่แพ้กับสไตล์ของหนังคือ การแสดงของสองหนุ่มศูนย์กลางของเรื่อง ธนภพและณัฐรัตน์ที่เล่นบทเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ ในแบบที่รู้ข่าวแล้วก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากันทันที โดยณัฐรัตน์ดูเหลื่อมๆ กว่า เมื่อตัวละครอู๊ด ที่มีทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ มีความคิดซับซ้อนอยู่ข้างใน และเป็นตัวตัวกำหนดเกม
อีกบุคคลที่ควรพูดถึงคือ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ และบทบาทเป็นพ่อ ที่การแสดงมาทางเสียงเป็นหลัก ถ้าคุณรู้สึกได้ถึงตัวตนที่ทำให้คุณเชื่อว่า เพราะอะไร? ทำไม? ลูกชายถึงรักเขาได้อย่างที่เห็นในหนัง โดยตัดอคติในเรื่องการเป็นคนในยุค ’80s ที่การได้ยินเสียงจัดรายการของธเนศ ทำให้ความทรงจำเก่าๆ ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะเป็นงานที่สมบูรณ์แบบ เรื่องเองก็ดูสับสนบ้างเกี่ยวกับไทม์ไลน์ของชีวิตของอู๊ดกับสาวๆ ในนิวยอร์ก โทนของหนังในช่วงที่บอสกลับมาบ้านที่พัทยาก็ดูหลุดจากที่เคยเป็นไปก่อนหน้า มีความประดิษฐ์หรือจริตที่มากไปบ้างในบางฉาก บางสถานการณ์ และเรื่องราวที่คลี่คลายในตอนท้าย ที่รวมถึงการตัดสินใจของบอส ดูรวบรัดหรือง่ายเกินไปบ้าง
- แต่เมื่อดูภาพรวม One for the Road ก็ยังคงดูสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนกับความทรงจำถึงคนรักเก่า ที่มีทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องแย่ๆ แต่ท้ายที่สุดนั่นคือคนที่เราเคย ‘รัก’

โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องการจากลา ที่เป็นเรื่องเจ็บปวดเสมอเมื่อเกิดขึ้น แต่การได้ร่ำลาก็ทำให้ไม่ต้องมีอะไรติดค้าง และบางทีก็อาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตหรือเรื่องราวอื่นๆ ที่ทำให้ ‘แก้วสุดท้ายแล้วกลับบ้าน’ เป็นการเดินทางสู่จุดหมายที่แสนอบอุ่นและสวยงามได้
ที่มา : เน็ตฟิกพากย์ไทย
หน้าแรก : หนังพากย์ไทย
#หนังพากย์ไทย Netflix #รีวิวหนัง รีวิวหนังnetflix #หนังภาคไทย #หนังnetflix #หนังnetflixแนะนำ #แนะนำหนังnetflix #หนังดังเต็มเรื่อง #หนังเน็ตฟิก #หนังเน็ตฟิกพากย์ไทย #หนังเน็ตฟิกฟรี #หนังเน็ตฟิกออนไลน์ #หนังดี #หนังสนุก #หนังญี่ปุ่น Netflix #หนังไทย Netflix #หนังNetflix ห#นังไทยในnetflix #หนังไทยใน netflix ตลกๆ #หนังไทยใน netflix ล่าสุด #หนังไทย2023 netflix 202